นับตั้งแต่ผมเริ่มเล่นเกมส์ครั้งแรกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Free-To-Play มีที่มาเป็นอย่างไร เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน คำว่า “Free-To-Play” ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักในอุตสาหกรรมเกมส์ยุคแรกๆ เนื่องจากเกมส์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเน้นใช้โมเดลธุรกิจแบบ Pay-to-play ซึ่งผู้เล่นจะต้องจ่ายเงินก่อนที่จะเข้าเล่นเกมหรือใช้บริการได้ โดยคิดเป็นรายชั่วโมงหรือรายเดือนตามราคาที่แตกต่างกันไป ในขณะที่กระแสของคำว่า Free-To-Play เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้จนถึงปัจจุบัน
เมื่อถามว่า Free-To-Play คืออะไร นิยมเรียกกันสั้นว่า “F2P” เป็นคำที่ใช้เรียกสื่อความบันเทิงอย่างวีดีโอเกมส์ในรูปแบบเล่นฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายมักพบในเกมส์ประเภท MMORPG หรือเกมส์เล่นสวมบทบาทกับผู้เล่นหลายคนผ่านเครือข่ายอินเตอร์ทั่วโลก ด้วยรูปแบบการให้บริการเล่นฟรีที่ผู้เล่นทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้บริษัทผู้พัฒนาเกมส์หลายรายเริ่มหันมาให้โมเดลธุรกิจแบบ F2P กันมากขึ้น อย่างไรก็ตามทุกสิ่งย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ที่ว่าผู้ให้บริการจะนำไปประยุกต์ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน
ซึ่งข้อดีของเกมประเภทเล่นฟรี แน่นอนว่าผู้เล่นอย่างเรามีแต่ได้กับได้ ในขณะที่ทางบริษัทผู้พัฒนาก็ต้องหาวิธีอื่นเพื่อทำรายได้จากเกมที่เปิดให้บริการด้วย วิธีส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคงจะเป็นการใช้เงินจริงซื้อของภายในเกมผ่านร้าน Store ไอเทมส่วนใหญ่จะให้ความพิเศษแก่ผู้เล่นที่สามารถหาซื้อได้จากเงินจริงเท่านั้น แม้การหารายได้ด้วยวิธีนี้จะทำกำไรให้บริษัทเกมได้อย่างมหาศาล แต่ในระยะยาวกลับไปทำลายระบบภายในเกมจนเกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้เล่นทั่วไปกับผู้เติมเงินจนเกิดวลีเด็ดที่ว่า Pay-to-win นั้นเอง
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโมเดลธุรกิจแบบ Free-To-Play ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเห็นได้ชัดจากเกมส์ยุคใหม่ที่เปิดตัวออกมากันอย่างมากมายรวมไปถึงเกมยุคแรกที่ประสบความสำเร็จและเคยเก็บค่าบริการแบบ Air Time ยังต้องตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการมาเป็น Free-to-play ด้วยเหตุที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสตลาดเกมส์ในอนาคต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้โมเดลธุรกิจแบบ F2P ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไปอยู่ที่ว่าแต่ละบริษัทผู้ผลิตเกมจะสามารถนำไปประยุกต์ได้ดีแค่ไหนกัน