การนำเกม MOBA ชื่อดังอย่าง Smite และ Paragon มาเทียบกันดูเหมือนจะเป็นมวยถูกคู่ เพราะทั้งสองเกมต่างใช้มุมมองการเล่นแบบ Third person หรือมุมมองบุคคลที่ 3 จึงมีความแตกต่างจากเกมแนว MOBA ทั่วๆไปที่ส่วนใหญ่ใช้มุมมองจากบนลงล่างหรือ isometric ซึ่งทั้งสองเกมต่างเป็นผลงานของทีมพัฒนามากฝีมือ อาทิ Hi-Rez Studios ผู้สร้างเกม Smite, Paladin และ Epic Games ผู้สร้าง Paragon อีกทั้งยังเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเกมเอนจิ้นชื่อดังตระกลู Unreal ที่ใช้สร้างเกมดังจนประสบความสำเร็จมาแล้วหลายต่อหลายเกม
โดยทั้งสองเกมนั้นเปิดให้เล่นฟรีบนแพลตฟอร์มต่างๆ ที่รองรับ สำหรับเกม Smite รองรับการเล่นบน PC, Mac, Xbox One และ PS4 อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการเล่นผ่านระบบ Steam ส่วนเกม Paragon ในขณะนี้โฟกัสเฉพาะผู้เล่นบน PC และ PS4 แม้ว่าเกม Smite จะเปิดให้บริการมาแล้วเกือบ 2 ปี ก่อนที่เกม Paragon เพิ่งเปิดให้บริการได้เพียงไม่นาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกม Smite จะรองรับการเล่นบนแพลตฟอร์มมากกว่า เพียงแต่แฟนเกม Paragon จำนวนไม่น้อยกำลังรอคอยเวอร์ชั่น Xbox One
สำหรับความหลากหลายของตัวละครภายในเกม Smite เริ่มต้นได้ดีกว่า เพราะมีเทพเจ้าให้เลือกเล่นมากถึง 86 ตัว จุดเด่นของตัวละครแต่ละตัวต่างได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายชื่อดังทั่วโลก การอัพเดท patch ใหม่ทุก 2 สัปดาห์ และทุกๆ เดือนมักจะมีการเปิดตัวฮีโร่ใหม่ ส่วนเกม Paragon มีฮีโร่ให้เลือกเล่นราว 30 ตัว มีการอัพเดท patch ใหม่ทุก 3 สัปดาห์ แม้ตัวเกมจะเปิดให้บริการมาได้สักพัก แต่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาแถมการเปิดตัวฮีโร่ใหม่ๆ แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก หรืออาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะมีการเปิดตัวฮีโร่ใหม่ในอนาคต
การอัพเดทเนื้อหาใหม่ค่อนข้างช้า ทำให้เกม Paragon เกิดข้อจำกัดในเรื่องของแผนที่ และโหมดการเล่นใหม่ๆ เพราะตั้งแต่เปิดให้บริการมานั้นมีเพียงแค่แผนที่เดียวที่รองรับโหมดการเล่นอย่างแผนที่ Monolith ที่ดูเหมือนว่าจะถูกอัพเกรดขึ้นมาจากแผนที่เก่า Legacy ในขณะที่เกม Smite แม้จะมีฮีโร่ให้เลือกเล่นเยอะ แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับแผนที่ และโหมดการเล่นใหม่ที่มีให้เลือกมากกว่า 10 โหมดแตกต่างกัน โดยเฉพาะโหมดใหม่ล่าสุดอย่าง Apollo’s Racer Rumble ที่ให้อารมณ์คล้ายเกมแข่งรถ Mario Kart
ซึ่งสิ่งที่ทั้งสองเกมทำได้ดีและน่าชื่นชมคือ การใช่มุมมองการเล่นแบบ Third person MOBA กล้าฉีกกฏของเกมแนว MOBA ที่มีมานาน จนกลายเป็นมิติใหม่สร้างแรงบันดาลใจให้เกม MOBA ใหม่ๆ หันมาใช้มุมมองการเล่นแบบบุลคลที่ 3 มากขึ้น โดยหนึ่งในนั้นคงจะเป็นเกม Paragon ปฏิเสธไม่ได้ว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเกม Smite แต่ได้ยกระดับด้านรูปแบบ ลูกเล่นใหม่ๆ รวมถึงภาพกราฟฟิกที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Unreal Engine 4 ที่ใช้สร้างเกมดังอย่าง TERA, BLESS, Bioshock Infinite รวมถึงเกม Smite พัฒนาด้วยเทคโนโลยตระกลู Unreal เช่นกัน
องค์ประกอบหรือระบบการเล่นภายในเกมของทั้ง 2 เกมค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน โดยเกม Smite จะให้ความสำคัญกับ item ที่นำมาใช้เพิ่มความสามารถให้แก่ฮีโร่เหมือนเกม League of Legends และ DOTA 2 อาจจะเรียกได้ว่าเป็นระบบการเล่นแบบดั้งเดิมของเกมแนว MOBA ทั่วไปส่วนเกม Paragon จะให้ความสำคัญกับ Card ซึ่งเป็นระบบการเล่นที่กำลังได้รับความนิยม โดยการเลือกใช้ Card เพิ่มความสามารถให้แก่ทักษะที่มีอยู่แล้วของฮีโร่แต่ละตัว ซึ่งระบบนี้ก็คล้ายกับเกม Paladins อีกหนึ่งผลงานของสตูดิโอ Hi-Rez
เมื่อพูดถึงการสร้างรายได้ของทั้งสองเกมดูเหมือนจะไปในทิศทางของตนเอง Smite จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงฮีโร่ภายในเกมได้ฟรี แต่ไม่ทั้งหมดโดยจะมีการสลับสับเปลี่ยนไปทุกๆ สัปดาห์แบบไม่ซ้ำกัน นับเป็นการตลาดที่สามารถสร้างรายได้ได้ดี หากผู้เล่นถูกใจฮีโร่ตัวใดจะสามารถซื้อมาครอบครองได้ทันที ส่วนเกม Paragon เข้าถึงฮีโร่ทุกตัวได้ฟรีลักษณะคล้ายกับเกม Overwatch และ Dota 2 โดยหารายได้จากการขาย Skin, Card Pack หรือ Cosmetic พิเศษของฮีโร่
ภาพรวมของทั้งสองเกมแสดงให้เห็นว่ามีองค์ประกอบ และรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รูปแบบธุรกิจการหารายได้ ลำดับการให้ความสำคัญแก่ผู้เล่นที่ต้องการรักษาฐานสมาชิกไว้ให้นานที่สุด แม้ว่าเกม Smite จะมีประสบการณ์มากกว่าทั้งอายุการเปิดให้บริการที่นานกว่า แต่เกม Paragon ก็ได้รับความสนใจไม่น้อยเช่นกัน สิ่งเดียวที่ผู้พัฒนาควรชี้แจง และให้ความชัดเจนแก่ผู้เล่นคือ อนาคตของเกมจะมีทิศทางไปอย่างไร หากการแข่งขันตลาดเกม MOBA ยังคงร้อนแรงจนทำให้เกมใหม่ๆ หลายต่อหลายเกมไม่ค่อยประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง